บันทึกอนุทิน
วิชา
การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
อาจารย์ผู้สอน
อ.ตฤณ แจ่มถิน
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2556
เวลาเรียน
วันศุกร์ 11:30-14:00 น.
การเรียนการสอนในวันนี้
ผู้สอนชี้แจงเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้
จิตพิสัย
10 คะแนน
งานเดี่ยว
10 คะแนน
งานกลุ่ม
20 คะแนน
Blogger 20
คะแนน
ทีวีครู 10 คะแนน
สอบกลางภาค 15
คะแนน
สอบปลายภาค 15
คะแนน
วันนี้เรียนทฤษฎี เรื่อง เด็กพิเศษ
ความหมายของเด็กพิเศษ
ทางการแพทย์ จะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า
เด็กพิการ หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ
อาจเป็นความผิดปกติ
ทางการศึกษา หมายถึง เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง
ต้องจัดการศึกษาต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการ การประเมิน
สรุป เด็กพิเศษ
หมายถึง
- เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้
การช่วยเหลือ และการาอนตามปกติ
- มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางร่างกาย
สติปัญญา และอารมณ์
- จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น
ช่วยเหลือ บำบัด ฟื้นฟู
- จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของเด็ก
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่วๆไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ"
2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่องทั้ง
9 ประเภท (กระทรวง)
2.1 เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น
2.2 เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
2.3 เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
2.4 เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
2.5 เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้
2.6 เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา
2.7 เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
2.8 เด็กที่มีความบกพร่องเป็นออทิสติก
2.9 เด็กที่มีความบกพร่องพิการซ้อน
1. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (
Childdren with lntellectual Disabilities )
***
IQ คนปกติ 90-100
หมายถึง เด็กที่มีระดับสิตปัญญา
หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบกับเด็กในระดับอายุเดียวกัน
มี 2 กลุ่ม คือ
- เด็กเรียนช้า
1. สามารถเรียนในห้องเรียนปกติได้
2. เรียนช้ากว่าปกติ
3. ขาดทักษะการเรียนรู้
4. มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
5. ระดับสติปัญญา IQ 71-90
(พัฒนาไอคิวได้)
สาเหตุของการเรียนช้า
1. ภายนอก
- เศรษฐกิจครอบครัว
- การสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
- สภาพด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
- การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
- วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2. ภายใน
- พัฒนาการช้า
- การเจ็บป่วย
- เด็กปัญญาอ่อน (
90 เปอร์เซ็น ของกลุ่มเด็กปัญญาอ่่อน คือ
ดาว์นซินโดรม)
1. เด็กที่มีพัฒนาการหยุดชะงัก
2. ลักษณะเฉพาะ IQ ต่ำ
3. มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
4. มีความจำกัดทางภาษาทักษะ
5. มีพัฒนาทางกายล่าช้าไม่เหมาะกับวัย
6. มีความสามรถจำกัด
ในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับ IQ ได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20 >>> ไม่สามรถเรียนรู้ทักษะต่างๆได้เลย ต้องการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
>>> ไม่สามรถเรียนได้
ต้องฝึกหัดช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นง่ายๆ
****ทั้ง 2 กลุ่มนี้ เรียกว่า C.M.R.
Custodial Mental Retardation )****
3. เด็กปัญญาอ่อนปานกลาง IQ 35-49
>>> เรียนฝึกเบื้องต้นง่ายๆ
สามรถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละอียดละออ
4. เด็กที่ปัญญาอ่อน ขนาดหนัก IQ 50-70
>>> เรียนในระดับประถมได้
สามารถฝึกงานง่ายๆได้ เรียกว่า E.M.R. (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะบกพร่องทางสติปัญญา
- ไม่พูด หรือ พูดไม่ได้สมวัย
- สนใจสั้น วอกแวก
- ความคิดและอารมณ์ เปลี่ยนง่าย
- ทำงานช้า
- รุนแรงไม่มีเหตุผล
- อวัยวะบางส่วนผิดปกติ,กล้ามเนื้อไม่ผสานกัน
- ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กวัยเดียวกัน
2. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ( Children
with Hearing lmpaired)
หมายถึง สูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้รับฟังเสียงต่างๆ
ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
- เด็กหูตึง
หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน
โดยใช้เครื่องช่วยฟัง แบ่งได้ 4 กลุ่ม คือ
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยิน 26-40 dB
>> เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ
เช่น เสียงกระซิบ
2. เด็กหูตึงปานกลาง ได้ยิน 41-55 dB
>>
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังพูดคุยที่ดังระดับปกติในระยะห่าง
3-5 ฟุต และไม่เห็นคนพูด
- จะไม่ได้ยินหรือได้ยินไม่ชัด
จับใจความไม่ได้
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยิน 56-70 dB
>>
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟัง
และเข้าใจคำพูด
- พูดเสียงดังก็ไม่ได้ยิน
- มีปัญหาการฟังเสียงหลายเสียง
- มีพัฒนาการทางภาษา
พูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด
เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยิน 71-90 dB
>>
- มีปัญหาในการรับฟังเสียง
การเข้าใจคำพูด
- ได้ยินเฉพาะที่เสียงดังใกล้ระยะ
1 ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ
บางคนพูดไม่ได้
- เด็กหูหนวก
- เด็กที่หมดโอกาสได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่เข้าใจภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยิน
ตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
1. ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี
2. ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
3. พูดไม่ถูกหลักไวยกรณ์
4. พูดด้วยเสียงแปลก เสียงสูง
5. พูดเสียงต่ำหรือดังเกินความจำเป็น
6. เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด
7. รู้สึกไวต่ออาการสั่นสะเทือน
8. มักทำหน้าเด๋อมีการพูดด้วย
3. เด็กที่บกพร่องทางการมองเห็น (Children
with Visual lmpairments)
- มองไม่เห็นหรือเห็นแสงเรือนราง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถห็นไม่ได้ 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีหลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้ 2 ระเภท คือ เด็กตาบอด และ ตาบอดไม่สนิท
- เด็กตาบอด
- เด็กที่มองไม่เห็นเลยหรือเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60,20/200
ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตา สูงสุดแคบ 5 องศา
- เด็กตาบอดไม่สนิท
- เดกที่บกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ
6/18,20/60,6/60,20/200 หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน
30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการมองเห็น
1. เดินงุ่มง่าม ชนและสดุดวัตถุ
2. มองเห็นสีผิด
3. ปวดศีรษะ ตาลาย อ้วก
4. ก้มศีรษะชิดกับงาน
5. พ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง
เมื่อใช้สายตา
6. ตาและมือไม่ประสานกัน
7. มีความลำบากใจในการจำ
และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างรขาคณิต