วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บันทึกอนุทินคร้งที่ 4

บันทึกอนุทิน
วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
อาจารย์ผู้สอน อ.ตฤณ  แจ่มถิน
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2556
เวลาเรียน วันศุกร์ 11:30-14:00 น.







การเรียนการสอนในวันนี้


      6. เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Chidren  with Behavioral and...

  • เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆไม่ได้
  • เด็กที่ควบคุมพฤติกกรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
  • ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย
  • เด็กที่ไดรับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์
  • เด็กที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้
  • วิตกกังวล
  • หนีสังคม
  • ก้าวร้าว
  • สภาพแวดล้อม
  • ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล
  • ไม่สามารถเรียนหนังสือเช่นเด็กปกติได้
  • รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อน หรือครูไม่ได้
  • มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน
  • มีความคับของใจ และมีความเก็บกดทางอารมณ์
  • แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย 
  • มีความหวาดกลัว
  • เด็กสมาธิสั้น (Children with attention deficult and hyperactivity disorders)
  • เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ (Autisium)
  • เด็กที่ซนไม่อยู่นิ่ง ซนมากผิดปกติ เคลื่อนไหวตลอดเวลา
  • มีปัญหาด้านสมาธิบกพร่อง อาการหุนหันพลันแล่น ขาดความยับยั้งชั่งใจ เด็กเหล่านี้ทางการแพทย์ เรียกว่า Attention defici disorders(ADD)
  • อุจจาระ ปัสสาวะ รดเสื้อผ้า
  • ยังติดขวดนม ตุ๊กตา ของใช้วัยทารก
  • ดูดนิ้ว กัดเล็บ
  • หงอยเหงา เศร้าซึม การหนีสังคม
  • เรียกร้องความสนใจ
  • อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
  • ขี้อิจฉา ริษยา ก้าวร้าว 
  • ฝันกลางวัน
  • พูดเพ้อเจ้อ
  • ไม่บกพร่องทางร่างกาย สมองปกติ ร่างกายปกติ
  • เรียกย่อๆว่า L.D.
  • เด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
  • เด็กมีปัญหาทางการใช้ภาษาพูด เขียน
  • ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน ด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือ บกพร่องทางร่างกาย

ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
  • มีปัญหาในทักษะทางคณิตศาสตร์
  • ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้
  • เล่าเรื่องลำดับเหตุการณ์ไม่ได้ 
  • มีปัญหาเรื่องการอ่านเขียน
  • ซุ่มซ่าม
  • รับลูกบอลไม่ได้
  • ติดกระดุมไม่ได้
  • เอาแต่ใจตนเอง
  • หรือ ออทิสซึม
  • เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อความหมาย พฤติกรรมสังคม และความสามารถในทางสติปัญญาในการรับรู้
  • เด็กออทิสติก แต่ละคนมีเอกลักษณ์ของตนเอง ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต

ลักษณของเด็กออทิสติก

  • อยู่ในโลกของตนเอง
  • ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
  • ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
  • ไม่ยอมพูด
  • เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ
  • เด็กอัจฉริยะ
  • ยึดติดวัตถุ
  • ต่อต้าน หรือ แสดงกิริยาอารมร์รุนแรง และไร้เหตุผล
  • มีทีท่าเหมือนคนหูหนวก
  • ใช้วิธีการสัมผัสและเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยวิธีการสากลทั่วไป
  • เด็กที่มีความบกพร่องที่มากกว่า 1 อย่าง ดป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
  • เด็กปัญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน 
  • เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
  • เด็กที่หูหนวก ตาบอด

    7. เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้   (Children with Learnning Disabilities)

    8.
    ออทิสติก(Autistic)
    9.
    เด็กพิการซ้อน 

บันทึกอนุทินคร้งที่ 3

บันทึกอนุทิน
วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
อาจารย์ผู้สอน อ.ตฤณ  แจ่มถิน
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2556
เวลาเรียน วันศุกร์ 11:30-14:00 น.
.

การเรียนการสอนในวันนี้


4. เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
    - เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
    - อวัยวะส่วนหนึ่งหายไป
    - มีปัญหาทางระบบประสาท
    - มีความลำบากในการเคลื่อนไหว การเดิน นั่ง คลาน

จำแนกได้ 2 ประเภท
1. บกพร่องทางร่างกาย
2. บกพร่องทางสุขภาพ

1. บกพร่องทางร่างกาย
    1.1 เด็ก ซี.พี. 
    - การที่เป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการหรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลาย ก่อนคลอด   ระหว่างคลอด  หลังคลอด
    - การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็ก ซี.พี. มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่างๆของสมองที่แตกต่างกัน
    อาการเด็ก ซี.พี.
    - อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหว
    - อัมพาตเกร็งแขน เกร็งขา หรือ ครึ่งซีก
    - อัมพาตสูญเสียการทรงตัว
    - อัมพาตตึงแข็ง
    - อัมพาตผสม
    1.2 กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy )
   - เกิดจากเส้นประสาท สมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้นๆ เสื่อมสลายตัว
   - เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
   - จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม
   1.3 โรคระบบกระดูกกล้ามเนื้อ
   - ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาครึ่งท่อน จากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida) 
   - ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการ ด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูก หลังโกง กระดูกผุ กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ
   1.4 โปลิโอ (Poliomyelitis) 
    - มีอาการกล้ามนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
    - เกิดจากเชื้อไวรัสที่เข้าจากทางปาก กินอม ดูดนิ้ว มือไม่ล้าง
    - โปลิโอ เด็กเป็นขามากกว่าแขน
    - ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์สริม
    - โรคนี้เป็นครั้งเดียวในชีวิต
   1.5 แขนขาด่วนก่อนกำเนิด (Limb Deficiency)
   1.6 โรคกระดูกอ่อน ( Osteogenesis lmoerfeta)

2. บกพร่องทางสุขภาพ 
     2.1 โรคลมชัก (Epilepsy) เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง
  • ลมบ้าหมู (Grand Mal ) 
    - เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึก ในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น
  • การชักช่วงสั้นๆ (Petit mal)   
    - เป็นอาการชักชั่วระยะสั้นๆ 5-10 วินาที
    - เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะหยุดชะงกในท่าก่อนชัก
    - เด็กจะนั่งเฉย หรือ็กอาจจะตัวส่นเล็กน้อย
  • การชักแบบรุนแรง (Grand Mai)
    - เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึกล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง 2-5 นาที จากนั้นจะหายและจะนอนหลับไปชั่วครู่
  • อาการชักแบบ (Partial Complex)
    - เกิดเป็นระยะๆ
    - กัดริมฝีปาก ไม่รู้สึกตัว ถูตามแขนขา เดินไปมา
    - บางคนอาจเกิดความโกรธหรือโมโห หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการพักผ่อน
  • อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)
    - เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจจะทำอะไร บางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า ดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
       2.2 โรคเกี่ยวกับสุขภาพ
1.     โรคระบบทางเดินหายใจ
2.     โรคเบาหวาน
3.     โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
4.     โรคศีรษะโต
5.     โรคหัวใจ
6.     โรคมะเร็ง
7.     เลือดไหลไม่หยุด
       ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
1.     มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
2.     ท่าเดินคล้ายกรรไกร
3.     เดินขากะเผลก หรือ เดินอืดอาดเชื่องช้า
4.     ไอเสียงแห้ง
5.     เจ็บหน้าอก ปวดหลัง
6.     หน้าแดงง่าย ปากเขียว
7.     หกล้มบ่อย
8.     หิวและกระหายน้ำอย่างเกินกว่าเหตุ
5. เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language Disorders)
       เด็กที่พูดไม่ชัด ออกเสียงผิดเพี้ยน อวัยวะที่ใช้ในการพูดไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้น การใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่เป็นไปดั่งตั้งใจ มีอากัปกิริยา ที่ผิดปกติขณะพูด

1.     ความผิดปกติด้านการออกเสียง


- ออกเสียงผิดเพี้ยนไปจากมาตราฐานของภาษาเดิม

- เพิ่มหน่วยเสียงเข้าในคำโดยไม่จำเป็น

- เอาเสียงหนึ่งมาแทนอีกเสียงหนึ่ง เช่น กวาดเป็นฟาด

2.     ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูด เช่น


- การพูดรัว การพูดติดอ่าง

3.     ความผิดปกติด้านเสียง
4.     ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia หรือ Aphasia


4.1 MOTOR APHASIA

      -เด็กที่เข้าใจคำถามหรือคำสั่ง แต่พูดไม่ได้ ออกเสียงลำบาก 

      -พูดช้าๆ พอพูดตามได้บ้างเล็กน้อย บอกชื่อสิ่งของพอได้

      -พูดไม่ถูกไวยากรณ์

4.2 Wernicke's aphasia
     - เด็กที่ไม่เข้าใจคำถาม คำสั่ง ได้ยินแต่ไม่เข้าใจความหมาย
     -ออกเสียงไม่ติดขัด แต่มักใช้คำผิดๆ หรือใช้คำอื่น ซึ่งไม่มีความหมาย
4.3 Conduction aphasia
       -เด็กที่ออกเสียงได้ไม่ติดขด เข้าใจคำถาม แต่พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้ มักเกิดร่วมไปกับอัมพาตของร่างกายซีกขวา
4.4 Nominal aphasia
       -เด็กที่ออกเสียงได้ เข้าใจคำถามดี พูดตามได้
       -แต่บอกชื่อวัตถุไม่ได้ เพราะ ลืมชื่อ บางทีก็ไม่ข้าใจความหมายของคำ มักเกิดร่วมไปกับ Genstmann's syndrome
4.5Global aphasia
      -เด็กที่ไม่เข้าใจทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน
      -พูดไม่ได้เลย
4.6 Sensory agraphia
      -เด็กที่เขียนเองไม่ได้ เขียนตอบคำถามหรือเขียนชื่อวัตถุก็ไม่ได้ มักเกิดร่วมกับ Genstmann's syndrome
4.7 Monter agraphia
     -เด็กที่ลอกตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ไม่ได้
     -เขียนตามคำบอกไม่ได้
4.8 Cortical alexia
     -เด็กที่อ่านไม่ออกเพราะไม่เข้าใจภาษา
4.9 Moter alexia
     -เด็กที่เห็นตัวเขียนและตัวพิมพ์ เข้าใจความหมายแต่ออกเสียงไม่ได้
4.10  Genstmann's syndrome
    -ไม่รู้ชื่อนิ้ว ไม่รู้ซ้ายขวา คำนวนไม่ได้ เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก
4.11 Visual agnosia
    -เด็กที่มองเห็นวัตถุ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร บางทีบอกชื่อนิ้วตัวเองไม่ได้
4.12 Auditory agnosia
    -เด็กที่ไม่มีความบกพร่องทางการได้ยิน แต่แปลความหมายของคำหรือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ




ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา

  • ในวัยทารก มักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆและอ่อนแรง
  • ไม่อ้อแอ้ ภายใน 10 ดือน
  • ไม่พูดภายใน อายุ 2 ขวบ
  • หลัง 3 ขวบ ก็ยังพูด ฟังไม่รู้เรื่อง ฟังยาก 
  • ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
  • หลัง 5 ขวบ  เด็กยังใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ ในระดับประถมศึกษา
  • มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก 
  • ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย



บันทึกอนุทินครั้งที่ 2

บันทึกอนุทิน
วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
อาจารย์ผู้สอน อ.ตฤณ  แจ่มถิน
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2556
เวลาเรียน วันศุกร์ 11:30-14:00 น.


การเรียนการสอนในวันนี้

ผู้สอนชี้แจงเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้
   
     จิตพิสัย                 10       คะแนน
     งานเดี่ยว               10       คะแนน
     งานกลุ่ม                20       คะแนน
     Blogger                20       คะแนน
     ทีวีครู                     10       คะแนน
     สอบกลางภาค      15       คะแนน
     สอบปลายภาค      15       คะแนน

วันนี้เรียนทฤษฎี เรื่อง เด็กพิเศษ


ความหมายของเด็กพิเศษ



     ทางการแพทย์ จะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า เด็กพิการ  หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ

   
      ทางการศึกษา หมายถึง เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ต้องจัดการศึกษาต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการ การประเมิน


      สรุป เด็กพิเศษ หมายถึง

      - เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้ การช่วยเหลือ และการาอนตามปกติ
      - มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์
      - จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัด ฟื้นฟู
      - จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของเด็ก


ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

    แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ


       1. กลุ่มที่มีลักษณะทางความสามารถสูง  มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่วๆไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ" 

       2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่องทั้ง 9 ประเภท (กระทรวง)
         2.1 เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น
         2.2 เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
         2.3 เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
         2.4 เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
         2.5 เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้
         2.6 เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา
         2.7 เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
         2.8 เด็กที่มีความบกพร่องเป็นออทิสติก
         2.9 เด็กที่มีความบกพร่องพิการซ้อน


1. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ( Childdren with lntellectual Disabilities )

  *** IQ คนปกติ 90-100
     หมายถึง เด็กที่มีระดับสิตปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบกับเด็กในระดับอายุเดียวกัน
       มี 2 กลุ่ม คือ
- เด็กเรียนช้า
      1. สามารถเรียนในห้องเรียนปกติได้
      2. เรียนช้ากว่าปกติ
      3. ขาดทักษะการเรียนรู้
      4. มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
      5. ระดับสติปัญญา IQ 71-90 (พัฒนาไอคิวได้)
           สาเหตุของการเรียนช้า
      1. ภายนอก
          - เศรษฐกิจครอบครัว
          - การสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
          - สภาพด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
          - การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
          - วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
      2. ภายใน
          - พัฒนาการช้า
          - การเจ็บป่วย
- เด็กปัญญาอ่อน  ( 90 เปอร์เซ็น ของกลุ่มเด็กปัญญาอ่่อน คือ ดาว์นซินโดรม)
     1.  เด็กที่มีพัฒนาการหยุดชะงัก
     2. ลักษณะเฉพาะ IQ ต่ำ
     3. มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
     4. มีความจำกัดทางภาษาทักษะ
     5. มีพัฒนาทางกายล่าช้าไม่เหมาะกับวัย
     6. มีความสามรถจำกัด ในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม


   เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับ IQ ได้ 4 กลุ่ม

      1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20 >>> ไม่สามรถเรียนรู้ทักษะต่างๆได้เลย ต้องการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
      2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34  >>> ไม่สามรถเรียนได้ ต้องฝึกหัดช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นง่ายๆ
     ****ทั้ง 2 กลุ่มนี้ เรียกว่า C.M.R. Custodial Mental Retardation )****
      3. เด็กปัญญาอ่อนปานกลาง IQ 35-49  >>> เรียนฝึกเบื้องต้นง่ายๆ  สามรถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละอียดละออ
      4. เด็กที่ปัญญาอ่อน ขนาดหนัก IQ 50-70 >>> เรียนในระดับประถมได้ สามารถฝึกงานง่ายๆได้ เรียกว่า E.M.R. (Educable Mentally Retarded)

      ลักษณะบกพร่องทางสติปัญญา
- ไม่พูด หรือ พูดไม่ได้สมวัย
- สนใจสั้น วอกแวก
- ความคิดและอารมณ์ เปลี่ยนง่าย
- ทำงานช้า
- รุนแรงไม่มีเหตุผล
- อวัยวะบางส่วนผิดปกติ,กล้ามเนื้อไม่ผสานกัน
- ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กวัยเดียวกัน

2. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ( Children with Hearing lmpaired)
     หมายถึง สูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้รับฟังเสียงต่างๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก 
- เด็กหูตึง 
      หมายถึง  เด็กที่สูญเสียการได้ยิน โดยใช้เครื่องช่วยฟัง แบ่งได้ 4 กลุ่ม คือ
   1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยิน 26-40 dB >> เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบ
    2. เด็กหูตึงปานกลาง ได้ยิน 41-55 dB >> 
         - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังพูดคุยที่ดังระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นคนพูด
         - จะไม่ได้ยินหรือได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
    3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยิน 56-70 dB >>
         - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟัง และเข้าใจคำพูด 
         - พูดเสียงดังก็ไม่ได้ยิน
         - มีปัญหาการฟังเสียงหลายเสียง
         - มีพัฒนาการทางภาษา พูดช้ากว่าปกติ
         - พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
    4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยิน 71-90 dB >>
         - มีปัญหาในการรับฟังเสียง การเข้าใจคำพูด
         - ได้ยินเฉพาะที่เสียงดังใกล้ระยะ  1 ฟุต 
         - การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
         - เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
         - เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนพูดไม่ได้
- เด็กหูหนวก
         - เด็กที่หมดโอกาสได้ยิน
         - เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
         - ไม่เข้าใจภาษาพูดได้
         - ระดับการได้ยิน ตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
      1. ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี
      2. ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
      3. พูดไม่ถูกหลักไวยกรณ์
      4. พูดด้วยเสียงแปลก เสียงสูง
      5. พูดเสียงต่ำหรือดังเกินความจำเป็น
      6. เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด
      7. รู้สึกไวต่ออาการสั่นสะเทือน
      8. มักทำหน้าเด๋อมีการพูดด้วย


3. เด็กที่บกพร่องทางการมองเห็น (Children with Visual lmpairments)

      - มองไม่เห็นหรือเห็นแสงเรือนราง
      - มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
      - สามารถห็นไม่ได้ 1/10 ของคนสายตาปกติ
      - มีหลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา


   จำแนกได้ 2 ระเภท คือ เด็กตาบอด และ ตาบอดไม่สนิท

- เด็กตาบอด
       - เด็กที่มองไม่เห็นเลยหรือเห็นบ้าง
       - ต้องใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้
       - มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60,20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
       - มีลานสายตา สูงสุดแคบ 5 องศา
- เด็กตาบอดไม่สนิท
       - เดกที่บกพร่องทางสายตา
       - สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
       - เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18,20/60,6/60,20/200 หรือน้อยกว่านั้น
       - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
   
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการมองเห็น
    1. เดินงุ่มง่าม ชนและสดุดวัตถุ
    2. มองเห็นสีผิด
    3. ปวดศีรษะ ตาลาย อ้วก
    4. ก้มศีรษะชิดกับงาน
    5. พ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
    6. ตาและมือไม่ประสานกัน
    7. มีความลำบากใจในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างรขาคณิต